เมื่อเราเป็นโรคเครียดที่ต่างแดน

สวัสดีค่ะ เพิ่งได้อ่านกระทู้โรคซึมเศร้าไปเลยอยากมาเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง คิดว่าหลายๆคนที่อยู่ต่างประเทศน่าจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน

ขอเกริ่นถึงตัวเองนิดนึง ตั้งแต่เด็กเป็นคนมีแนวคิดว่าปัญหามีไว้แก้ซึ่งสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองและผ่านมาได้ด้วยดีตลอด ต่อให้เจอเรื่องไม่ดีก็ไม่เคยมีความคิดว่าอยากหายไปจากโลกให้พ้นๆ

เราเคยเป็นเด็กเรียนดีแต่เรียนแย่ลงเพราะขี้เกียจ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้แบบงงๆ เรียนๆเล่นๆ จบมหาวิทยาลัยมาด้วยเกรด 2.5 ซึ่งก็ถือว่าต่ำ แต่ความภูมิใจของเราคือเราสามารถทำโปรเจคทุกโปรเจคให้เสร็จตามเวลา มีงานส่งอาจารย์เสมอ ถึงแม้เกรดจะดีจะแย่ก็ตาม แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราก็เป็นคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสามารถทำงานลุล่วงเป้าหมายได้

จบมาเราได้งานทันที เป็นบริษัทใหญ่ในเมือง เงินเดือนขึ้นเร็วมาก ที่บ้านก็ภูมิใจเอาไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง แต่ทำได้ไม่ถึงปีเราก็ลาออกเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่มีเป้าหมายชีวิต ถึงเงินจะดีเราก็ใช้ฟุ่มเฟือย ซื้อนู่นซื้อนี่ให้ตัวเองมีความสุขแต่จริงๆแล้วรู้สึกโล่ง ว่างเปล่าเหมือนโอ่งมังกรไม่มีน้ำ...

เวลาสมัครงานใหม่ไม่เคยใช้เวลาเกิน 2 อาทิตย์ก็ได้งานเลย หัวหน้าที่ทำงานด้วยก็จะชมเสมอว่าเราทำงานเก่ง ทำงานละเอียดซึ่งเราก็ดีใจ มีความรู้สึกว่างานคือทุกอย่างในชีวิต ถ้าไม่มีงานเราคงไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าในด้านอื่น เราเป็นคนบ้ายอ ยิ่งหัวหน้าชมหรือขึ้นเงินเดือนให้ คุณภาพงานเรายิ่งดีมากขึ้น อันนี้เพิ่งมารู้ว่าเป็นเพราะตอนเด็กๆเราไม่เคยโดนที่บ้านชมเลยแม้แต่หนเดียว เลยโหยหาคนที่เห็นคุณค่าในตัวเราและคุณค่าในตัวเราคือการทำงาน

พอเจอสามีก็ย้ายมาอยู่ต่างประเทศด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ภาษาอังกฤษก็ได้ ได้ภาษาอื่นงูๆปลาๆนิดหน่อย แฟ้มผลงานก็ดีมีทั้งโปรเจคในและนอกประเทศ สมัครงานไปเดือนนึงเงียบกริบ แต่ก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่างานที่ต่างประเทศหายากแน่นอน แทบทุกบริษัทที่เราสมัครงานไปตอบกลับมาว่า สนใจร่วมงานกับเราแต่ติดปัญหาเรื่องภาษา ขอให้เรียนภาษาเพิ่มก่อนแล้วมาคุยกันอีกครั้ง ระหว่างนั้นเราเลยเรียนภาษาไปด้วยแล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรด มีบริษัทนึงอยากให้เราไปเจอ สัมภาษณ์ปั๊บได้งานเลย สามีพาไปฉลองทันที

ช่วงนั้นเราอาศัยอยู่บ้านพ่อแม่สามี แน่นอนว่าทำทุกสิ่งที่ควรจะทำเวลาอยู่บ้านคนอื่น ปัดกวาดเช็ดถู ทำกระทั่งทาสีระเบียง แต่ก็เหมือนคนทั่วไปค่ะ มันไม่ใช่บ้านของเรา เราไม่มีปากเสียงอะไรได้แต่พยักหน้าหงึกๆ นานๆเข้าเราเริ่มอึดอัดและเครียด เครียดจนร้องไห้กับสามีเพราะรู้สึกว่าเราไม่สามารถควบคุมอะไรในชีวิตเราได้เลย ต้องตามใจพาอแม่สามีทุกอย่าง ปกติเวลาก่อนประจำเดือนมาถ้าเราเหนื่อยมากๆเราจะนอนทั้งวัน ทั้งปีที่ผ่านมานอนไป 2 วันแต่แม่สามีไม่พอใจค่ะ เค้าว่าเราทำตัวดราม่า เราก็เออ ไม่เถียงอะไร จะไปเถียงอะไรได้ สามีก็บอกให้ปล่อยผ่านไปเถอะ แม่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าเองก็ไม่ชอบแต่มันไม่ใช่บ้านเรา ระหว่างนั้นเรากับสามีก็หาที่พักของตัวเองไปด้วย

การที่ได้งานนี่เหมือนได้ปีกมาติด เราไม่ต้องอยู่บ้านพ่อแม่สามีแล้ว ย้ายออกมาอยู่เองแล้วมีความสุขสุดๆ แต่ความเครียดก็สะสมมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเรื่องงาน เราต้องเรียนรู้ระบบใหม่ทั้งหมดเพราะระบบที่นี่แตกต่างกับที่ไทยมาก เจ้านายตอนแรกก็ดีค่ะ ทำไปไม่ถึงเดือนเริ่มเหวี่ยง เหวี่ยงในทุกคนในแผนกเดียวกับเราจนเราเริ่มทนไม่ไหว ช่วงแรกๆเราเล่าให้ที่บ้านสามีฟังเพราะต้องการคำแนะนำ แต่คำแนะนำส่วนมากที่ได้กลับมาคือ ให้อดทนเพราะงานหายาก การที่เราได้งานภายใน 2 เดือนถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก คนอื่นๆใช้เวลาเป็นปียังหาไม่ได้ เราก็เออ ก็โชคดีจริงๆที่ได้งาน ลองทนๆไปก่อนจะได้มีอะไรเขียนลง CV ตอนหางานใหม่

2 เดือนแรกเราไม่ได้เงินเดือนเพราะเจ้านายอยากให้เราเข้าระบบของกรมแรงงาน ซึ่งทางกรมจะช่วยนายจ้างจ่าย 80% ของเงินเดือนทั้งหมด นายจ้างจ่ายแค่ 20% แต่จะเข้าร่วมระบบได้ก็ต่อเมื่อเราผ่านโปรแกรมแนะนำมาก่อนเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งโปรแกรมนี้กรมแรงงานจะจ่ายเราเอง แต่จ่ายแบบเศษเงินนะคะ เช่น เงินเดือนที่เราควรได้คือ 30,000 แต่กรมจะจ่ายให้เรา 4,000 ซึ่งไม่พอค่ารถด้วยซ้ำ ตอนนี้ทำให้เรารู้ว่าหัวหน้าเราเค้าไม่ได้จ้างเราเพราะความสามารถ เค้าอยากได้คนมาทำงานแต่เค้าไม่อยากจ่ายเรทปกติ และการจ้างคนต่างชาติที่ไม่ค่อยมีทางเลือกแบบเราก็เป็นทางออกอย่างนึง เราคุยกับที่บ้านสามีเรื่องนี้แต่ได้คำแนะนำมาว่า เธอจะหวังให้เค้าปฏิบัติกับเธอเหมือนตอนอยู่ไทยไม่ได้ เราก็เออ หมายถึงชั้นควรรู้สึกดีที่ได้งานแม้จะไม่ได้เงินเดือนใช่มั้ย เรารู้สึกผิดหวังมากๆเพราะโดนเอาเปรียบ

แต่เราพยายามคิดแง่ดีสุดๆ พยายามมองแง่บวกว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นแค่ไหนที่ได้งาน เพื่อนร่วมงานแทบทุกคนชมเราว่าเรียนรู้งานไวมาก ใช้โปรแกรมคล่องภายในไม่กี่วัน มีมากระซิบด้วยว่าได้ยินหัวหน้าชมเรา ก็ตามสูตรเดิมค่ะ บ้ายอไม่หาย คิดเข้าข้างตัวเองว่าเค้าคงเหวี่ยงเพราะเครียดงานอื่น เราก็พยายามไม่คิดอะไรเวลาโดนเหวี่ยงหรือเวลาเค้าพูดจาหักหน้าเราต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน พยายามมองข้ามเรื่องเค้าเอาเปรียบเราเรื่องเงินเดือน

นอกจากงานแล้วเราก็ยังโดนปัญหาทางบ้านสามีรุมเร้าจนเราเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ ปกติถ้าหัวถึงหมอนเมื่อไหร่เราหลับแทบจะทันที เราเริ่มเวียนหัวตอนเช้า ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด แล้วมีวันนึงเราโดนหัวหน้าว่าเรื่องฟีดแบคจากลูกค้าซึ่งไม่ใช่ความผิดเรา เราเลยตัดสินใจปรึกษาเพื่อนที่ทำงานว่ามีแค่เรารึเปล่าที่มีปัญหากับหัวหน้า ปรากฎว่าไม่ใช่ เคสเพื่อนร่วมงานเราโหดกว่าเยอะมาก เพื่อนคนนี้ถึงกับเป็นซึมเศร้าต้องหยุดงานไปเกือบปี และตอนนี้ก็ยังต้องทานยา มีอีกหลานคนที่ลาออกไปเพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมหัวหน้า และส่วนมากเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น

หลักจากนั้นเดือนนึงเราก็มีอาการลุกจากเตียงไม่ขึ้นในตอนเช้า นอนจ้องเพดานเป็นชั่วโมง ร้องไห้เพราะรู้สึกไม่มีค่า อาการทั้งหมดมาจากการโดนหัวหน้าว่าบ่อยๆทำให้ความมั่นใจในตัวเองหายไป กลัวไปทุกอย่าง กลัวว่าจะทำอะไรผิดอีก แค่หัวหน้าเดินเข้ามาในออฟฟิศเราก็เริ่มเครียดโดยไม่ทีสาเหตุ จนกระทั่งมาถึงวันที่เค้าโยนความผิดให้เราอีกรอบ เราเลยขอลางาน เราบอกไปตรงๆว่าเรารับไม่ได้กับการที่เค้าปฏิบัติกับเราแบบนี้ เราอยากพักจากงาน

หลังจากนั้นเราตัดสินใจพบจิตแพทย์เพราะรู้สึกว่าเราไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป เราไม่มีความสุขเลยซักวัน ยกเว้นวันหยุดที่ได้ใช้เวลากับสามี ครั้งแรกที่พบจิตแพทย์เราก็เล่าเรื่องไปทั้งหมด สรุปได้ว่าเราเป็นโรคเครียดซึ่งใช้เวลาสะสมมานานพอสมควร เราเหมือนลูกโป่งถูกอัดแก๊สจนอีกนิดนึงก็จะระเบิด คุณหมอบอกว่าสิ่งที่เราควรทำคือโฟกัสสุขภาพตัวเอง พยายามทานอาหารให้มากขึ้น ออกกำลังกาย พยายามทำสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข และที่สำคัญคือเราควรหยุดพักอยู่บ้านถ้าเรารู้สึกไม่ดี ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้ไปทำงาน อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ อย่าไปทนกับอะไรที่ไม่ควรทนเพราะสุดท้ายเราก็จะเก็บมาเครียดโดยไม่รู้ตัว ให้บล็อคสิ่งที่กระตุ้นให้เราเครียดออกไปก่อน รวมถึงที่บ้านสามีด้วย

ซึ่งคำแนะนำที่คุณหมอบอกมาเราคิดว่ามันแย้งกับ mind set ของเราเพราะเราถูกปลูกฝังแต่เด็กในสังคมบ้านเราให้อดทน ป่วยเล็กๆน้อยๆไม่ควรลางาน อย่าเถียงผู้ใหญ่ มีอะไรให้เก็บไว้ ซึ่งมันทำให้เราป่วยในที่สุด

เราถามคุณหมอว่าเราเป็นโรคซึมเศร้ารึเปล่าเพราะเรามีความรู้สึกอยากตายให้พ้นๆ รำคาญปัญหา เบื่อ คุณหมอบอกเราไม่ได้เป็น การจะเป็นโรคซึมเศร้าได้มันมีปัจจัยมากกว่านั้น อาการของเรายังไม่เข้าข่าย คุณยิ้มกตัวอย่างให้เรานึกถึงน้ำในขวด คนทั่วไปเวลามีปัญหาหรือเครียด ระดับน้ำอาจจะอยู่ที่ครึ่งขวด พอเวลาผ่านไประดับน้ำจะลดลงเองเหมือนมีคนเจาะรูที่ก้นขวด แต่กับคนที่เครียดมากๆ ระดับน้ำจะลดลงช้ากว่า บางทีลดไปนิดเดียวก็เพิ่มกลับมามากกว่าเดิม และเป็นปกติในกรณีที่เรารู้สึกดีขึ้น 3-4 วัน แต่พอวันที่ 5 เรากลับรู้สึกแย่ จมดิ่ง เหมือนชีวิตเลวร้ายสุดๆ นั่นเป็นเพราะระดับน้ำในขวดของเราสูงกว่าปกติ แม้ระดับน้ำจะลดลงไป พอมีเรื่องเล็กๆน้อยๆมากระทบจิตใจทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูง ทั้งๆที่เรื่องนั้นอาจจะไม่มีผลกับเราเลยก็ได้ในสภาวะทั่วไป

เราก็ทำตามหมอบอกค่ะ เราเลิกทนเวลาหัวหน้าหยาบคายใส่เรา เราตอบโต้กลับแบบสุภาพชน ทำให้เค้ารู้ตัวเวลาเค้าหยาบคาย เราเริ่มใช้วันหยุดพักร้อน ตอนนี้พิมพ์อยู่ก็ไม่ได้ไปทำงาน เราได้งานใหม่ที่เสนอเงินเดือนให้มากกว่าที่เดิม เรายื่นลาออกทันที เราเลิกฟังเวลาคนอื่นบอกว่างานหายากจะตาย ทำไมไม่ทนๆทำไป ทนไปเพื่อเงินเพราะสุดท้ายเงินที่ได้จากการทำงาน เราก็เอามาจ่ายค่าหมอแทนซึ่งมันไม่คุ้ม

อย่างนึงที่เราแปลกใจคือมีคนไทยจำนวนมากที่พบจิตแพทย์เหมือนเราด้วยปัญหาคล้ายๆกัน ซึ่งทำให้เราอยากเล่าเรื่องของเรา อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนกับอยากให้ข้อคิดสำหรับคนที่อยากมาอยู่ต่างประเทศหรือกำลังเผชิญปัญหาแบบเรา

อย่าไปทนกับสิ่งที่ไม่ควรทน อย่าคิดว่าเราไม่มีทางเลือกจนยอมให้เค้าเอาเปรียบ อย่าคิดว่าเราเป็นพลเมืองประเทศที่ 3 เลยต้องยอมให้เค้าปฏิบัติกับเราแย่ๆ เพราะคนที่เค้าดีจริงๆเค้าไม่มาแยกชั้นพลเมืองหรือคิดจะเอาเปรียบเราแต่แรก

ถ้าเราพิมพ์ตกหล่นหรือเข้าใจยากไปก็ขอโทษด้วยนะคะ อาจจะเว้นวรรคแปลกๆหน่อยเพราะพิมพ์ในมือถือ

ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่